WordPress คืออะไร? ทำไมใครๆ ก็นิยมใช้ WordPress สร้างเว็บ
การทำเว็บไซต์ WordPress คืออะไร จะดีไหมถ้าเราใช้ WordPress ในการทำเว็บไซต์
ในการทำเว็บไซต์ ถึงแม้หน้าตาจะคล้ายกัน แต่จริงๆ แล้วเราสามารถทำได้จากหลากหลายภาษา (ภาษาโปรแกรมมี่ง) และหลายๆ เครื่องมือ
WordPress ก็เป็นเครื่องมือ เครื่องมือนึงที่คนทั่วโลกนิยมใช้ทำเว็บไซต์ และในบทความนี้ เราจะพาไปรู้จักกับข้อดีและเหตุผลว่าทำไมการ ใช้ WordPress สร้างเว็บ ถึงเป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมทั่วโลก
WordPress คืออะไร?
WordPress คือ ระบบบริหารจัดการเว็บไซต์ ที่จะช่วยให้คุณสามารถสร้างและจัดการเนื้อหาบนเว็บไซต์ได้อย่างง่ายดาย โดยไม่จำเป็นต้องมีความรู้ด้านการเขียนโปรแกรม
WordPress เป็นที่นิยมตั้งแต่ใช้ทำเว็บไซต์บล็อกเล็กๆ ไปจนถึงเว็บไซต์องค์กรขนาดใหญ่ หรือร้านค้าขนาดใหญ่ เพราะ WordPress สามารถรองรับการทำงานได้ทั้งหมด ครอบคลุมหลากหลายฟังก์ชั่น และมีระบบบริหารจัดการหลังบ้านที่ง่ายสำหรับลูกค้า
ข้อดีของการใช้ WordPress สร้างเว็บ
1. ผู้ใช้งาน สามารถอัพเดตข้อมูลได้เอง
WordPress มีระบบหลังบ้านที่ใช้งานง่าย สามารถใส่รูป หรือใส่เนื้อหา ปรับแต่งเมนู สร้างหน้าใหม่ๆ ได้เอง เหมาะกับผู้ใช้งาน หรือเจ้าของธุรกิจที่ต้องการจัดการข้อมูลในเว็บไซต์เอง

2. รองรับ SEO
WordPress รองรับการทำ SEO ได้เป็นอย่างได้ โดยมีปลั๊กอินฟรีหลายๆ ตัวอย่างเช่น Yoast SEO ที่จะช่วยให้คุณปรับแต่งเว็บไซต์ให้ติดอันดับ Google ได้ง่ายขึ้น
3. มีแบบสำเร็จรูป และปลั๊กอินรองรับมากมาย
Wordpress มีแบบสำเร็จรูปให้คุณเลือกใช้มากมาย ทั้งแบบฟรี และแบบเสียเงิน ทำให้คุณสามารถปรับแต่งเว็บไซต์ให้สวยงามและมีฟังก์ชันครบถ้วนได้โดยไม่ต้องพัฒนาเอง เช่น ระบบร้านค้า (WooCommerce), ระบบจอง, ฟอร์มติดต่อ ฯลฯ
4. รองรับหลายภาษา รวมถึงภาษาไทย
ไม่ว่าคุณจะต้องการเว็บไซต์ภาษาไทย อังกฤษ หรือหลายภาษาในเว็บเดียว WordPress ก็รองรับทั้งหมด
5. ระบบ Open Source และเป็นที่นิยมใช้งานมากมาย
เมื่อเกิดปัญหา หรือต้องการคำแนะนำ WordPress เป็นที่นิยมใช้งานอย่างหลากหลายทั่วโลกจึงทำให้มี ชุมชนผู้ใช้และนักพัฒนาขนาดใหญ่ คุณสามารถหาความช่วยเหลือได้ง่ายจากชุมชน WordPress ทั้งในไทยและต่างประเทศ

เปรียบเทียบ WordPress กับ Wix/Shopify
| คุณสมบัติ | WordPress | Wix / Shopify |
|---|---|---|
| ความยืดหยุ่นในการปรับแต่ง | สูงมาก (Custom ได้หมด) | จำกัดตามระบบ |
| รองรับ SEO | ดีเยี่ยม | ปานกลางถึงดี |
| ค่าใช้จ่าย | ยืดหยุ่นตามงบประมาณ | อาจมีค่ารายเดือนสูง |
| ความสามารถในการพัฒนาเพิ่ม | ปลั๊กอินจำนวนมาก | จำกัดตามแผนที่เลือก |
| เหมาะสำหรับธุรกิจท้องถิ่น | เหมาะมาก | ขึ้นอยู่กับเครื่องมือ |
ถ้าคุณกำลังคิดจะสร้างเว็บ – WordPress คือคำตอบที่คุ้มค่า
ไม่ว่าคุณจะเริ่มจากการทำเว็บเล็กๆ เว็บขายของ เว็บข่าวสาร หรือขยายเป็นระบบขนาดใหญ่ในอนาคต การเลือกใช้ WordPress สร้างเว็บเป็นตัวช่วยที่ดีที่สุด เพราะไม่เพียงแต่ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย แต่ยังทำให้คุณสามารถอัพเดตเนื้อหาข้อมูล และเติบโตไปกับเว็บไซต์ได้ในระยะยาว
หากคุณต้องการเว็บที่ใช้งานง่าย รองรับ SEO และสามารถพัฒนาเพิ่มเติมได้ตลอดเวลา WordPress คือคำตอบที่มืออาชีพและเจ้าของธุรกิจทั่วโลกให้ความไว้วางใจ
Website Studio รับทำเว็บไซต์ด้วย WordPress ออกแบบใหม่ ตรงความต้องการ พร้อมรองรับ SEO ให้คุณแบบครบจบ พร้อมทีม Support ดูแลตลอดการใช้งาน
ติดต่อสอบถามหรือขอใบเสนอราคาได้ที่
📲 หรือปรึกษาฟรีได้ที่ LINE: @websitestudio
ภาพโดย Werner Moser จาก Pixabay
ภาพโดย 3D Animation Production Company จาก Pixabay
ค่าใช้จ่าย ในการทำเว็บ
การทำเว็บไซต์ ก็เหมือนกับการสร้างบ้าน หรือตึก 1 หลัง ความซับซ้อน โครงสร้าง และหน้าตาต่างๆ ก็จะแตกต่างกันออกไป วันนี้ Website Studio รวบรวมค่าใช้จ่ายควรรู้ในการทำเว็บไซต์ จากลูกค้าที่มักจะถามเราเข้ามาก่อนการขอรับบริการจากเรามาให้ท่านผู้อ่าน ได้รู้ข้อมูลเบื้องต้น ว่าในการทำเว็บไซต์ 1 เว็บ จะมีค่าบริการอะไรบ้างที่รวมอยู่แล้ว หรือจ่ายแยกในการทำเว็บ 1 เว็บไซต์กันนะคะ
ค่าออกแบบหน้าตาเว็บไซต์
อย่างที่เกริ่นไปตอนแรกนะคะ การทำเว็บก็คล้ายกับการสร้างบ้าน สร้างตึก 1 หลัง โดยเราต้องมีการออกแบบ การสร้าง สำหรับการสร้างบ้านหรือตึกเราจะต้องมีสถาปนิกออกแบบบ้าน ซึ่งการทำเว็บก็เช่นกัน ต้องเริ่มต้นจากการออกแบบค่ะ
ค่าออกแบบเว็บ ส่วนใหญ่จะรวมในบริการแพคเกจอยู่แล้วสำหรับทำเว็บไซต์ โดยจะเป็นการออกแบบโดย Web Design ซึ่งจะรู้วิธีการออกแบบให้ตรงกับแบรนด์ โทนสีที่เราชอบ และการจัดวางต่างๆ ว่าปุ่ม เมนู หรือเนื้อหาควรอยู่ตรงไหน ที่จะทำให้ลูกค้าเข้ามาใช้บริการเราแล้วไม่สับสน
ค่าพัฒนาเว็บไซต์
หลังจากเราออกแบบเว็บไซต์เสร็จ ก็จะเหมือนกับการสร้างบ้านเลย พอเราได้แบบ หน้าตา ฟังก์ชั่น ที่เราต้องการมาแล้ว เราก็จะต้องนำมาสร้างให้ออกมาเป็นรูปร่างที่สวยงามตามแบบ โดย Web Developer
เครื่องมือการสร้างเว็บไซต์ของแต่ละบริษัทก็จะแตกต่างกันไป แล้วแต่ความถนัด ส่วนทาง Website Studio ของเรา เราทำโดยใช้ WordPress ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในต่างประเทศ และยังเป็นข้อดีกับทางลูกค้าที่จะสามารถแก้ไขเนื้อหาในเว็บได้เอง โดยไม่ต้องจ้างเราซ้ำซ้อนด้วยค่ะ
งบสำหรับทำการตลาด (SEO/ยิงโฆษณา Google Ads)
หลังจากเราได้เว็บไซต์ที่สวยงาม ฟังก์ชั่นครบแล้ว จะมีประโยชน์อะไร ถ้าคนไม่เห็นเรา จริงมั้ยคะ ถ้าหากคุณเป็นร้านค้า หรือบริษัทที่มีฐานลูกค้าอยู่แล้ว แค่จะสร้างเว็บเพื่อให้ดูน่าเชื่อถือ เรื่องนี้ก็ไม่ต้องกังวลมากนัก เนื่องจากหากเรามีเว็บไซต์ และสร้างถูกโครงสร้างแต่ต้น เมื่อลูกค้า ค้นหาเรา ในชื่อบริการของเรา ย่อมเจอเว็บไซต์เราอยู่แล้ว
แต่! หากคุณเป็นคนให้บริการหน้าใหม่แล้ว ต้องเตรียมงบ สำหรับการทำสิ่งเหล่านี้ไว้เลยนะคะ โดยถ้าเป็น Google Ads หรือการยิงโฆษณาผ่าน Google ก็จะช่วยให้เห็นผลเร็ว คนค้นหาปุ๊บของเราสามารถขึ้นหน้า 1 หรือ 2 เลย (ตามงบที่เรามี) แต่ก็จะต้องเสียค่าโฆษณาต่อคลิกเยอะหน่อย
ส่วน SEO คือจะใช้เวลา แต่เมื่อติดคำค้นหาแล้ว ก็จะอยู่ได้นานๆ ลูกค้าคลิกเรากี่ครั้ง ก็ไม่ต้องเสียเงินให้ Google (แต่เสียค่าบริการให้คนทำ แค่นั้นเอง)
งบประมาณส่วนนี้สำคัญนะคะ
ค่าบำรุงรักษา และค่าใส่เนื้อหา
หากคุณเป็นเว็บขายอาหาร หรือต้องการมีบทความ ข่าวสารอัพเดตในหน้าเว็บเสมอ และไม่มีคนทำให้ อาจจะต้องสอบถามค่าบริการส่วนนี้จากผู้รับทำ ว่ามีการให้บริการหรือไม่ และอัตราค่าบริการอยู่เท่าไหร่
สำหรับค่าบำรุงรักษาในกรณีที่เว็บไซต์ติดไวรัส เราอาจจะจำเป็นต้องให้เว็บไซต์มีการปรับปรุงตลอดเวลา เพื่ออุดช่องว่างส่วนนี้ค่ะ
เหมือนเดิมค่ะ เว็บไซต์คล้ายการสร้างบ้าน สร้างเสร็จใช้งานไปก็อาจจะมีการชำรุดได้ ซึ่งเกิดจากเทคโลโลยีสมัยใหม่ ซึ่งเราต้องมีการบำรุงรักษาอยู่เสมอ
ค่าโดเมน + โฮสติ้ง (รายปี)
การทำเว็บไซต์ จะมี 2 ส่วนนี้เป็นภาคบังคับ และมีการเสียค่าบริการเป็นรายปี สำหรับการเช่าซื้อนะคะ โดยหากมองแบบง่ายๆ ถ้าเราเปรียบเป็นการสร้างบ้านเหมือนเดิม โดเมนก็คือบ้านเลขที่ ที่จะไม่ซ้ำใคร ในหมู่บ้าน และตำบลของเรา และคนสามารถจำว่าเป็นบ้านเราได้ โฮสติ้งคือที่ดิน ที่เราเช่ารายปี สำหรับสิ่งปลูกสร้างนั้นๆ
- โดเมน คือ ชื่อเว็บไซต์ เช่น www.ชื่อเว็บไซต์คุณ.com
- โฮสติ้ง คือ พื้นที่เก็บไฟล์ ในการทำเว็บไซต์ เช่นไฟล์รูป ไฟล์วิดีโอโดยราคาของโดเมน จะอยู่ที่ปีละ 400-1,000 บาท
ส่วนโฮสติ้งจะอยู่ที่ 1,000 – 3,500 บาท ทั้งนี้อาจจะแพงกว่านี้หากเว็บของคุณมีขนาดใหญ่ และมีปริมาณการใช้งานที่สูง
📩 หากคุณอยากเริ่มต้น ทำเว็บไซต์ สำหรับธุรกิจหรือร้านค้า โดยรวบรวมค่าใช้จ่ายข้างต้นไว้แล้ว
👉 ดูแพ็กเกจของเราได้ที่:
https://www.mwebsite-studio.com/wordpress-website-service/📲 หรือปรึกษาฟรีได้ที่ LINE: @websitestudio
ภาพโดย StartupStockPhotos จาก Pixabay
SEO ช่วยติด ChatGPT ได้หรือไม่?
คำถามยอดฮิตของเจ้าของธุรกิจยุค AI! ทำยังไงให้เราติด ChatGPT การทำ SEO ช่วยติด ChatGPT ได้หรือไม่?
ในยุคเปลี่ยนที่ผู้คนเริ่มหาข้อมูลผ่าน AI อย่าง ChatGPT, Google Bard หรือ Copilot มากขึ้น
หลายคนเริ่มตั้งคำถามว่า
“ทำยังไงให้แบรนด์ของเราติด ChatGPT?”
“SEO ยังคงจำเป็นอยู่ไหม?”
“ถ้าทำ SEO แล้ว จะทำให้แบรนด์หรือเว็บไซต์ของเราติด ChatGPT ได้ไหม?”
ในบทความนี้ Website Studio จะพาไปไขข้อสงสัยกันค่ะ พร้อมรีวิวของจริงกันค่ะ
ChatGPT ใช้ข้อมูลจากที่ไหน? มาทำความเข้าใจกันก่อน
ChatGPT ดึงข้อมูลจากหลากหลายแหล่งที่น่าเชื่อถือบนอินเทอร์เน็ต
แม้จะไม่ดึงข้อมูลแบบเรียลไทม์ (ยกเว้นบางรุ่นที่เปิดเว็บได้ เช่น GPT-4 พร้อมเว็บ browsing) แบบ Google Search แต่ระบบยังอ้างอิงเว็บไซต์จริงๆ ที่มี “เนื้อหาคุณภาพ” และ “ติดอันดับ”
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เว็บไซต์ที่มี SEO ดี โครงสร้างชัด และเป็นที่พูดถึงบ่อย
โดยหลัก ๆ แหล่งข้อมูลที่ ChatGPT ใช้ ได้แก่:
1. เว็บไซต์สาธารณะ (Public Websites)
- บทความ ข่าว บล็อก คู่มือ
- เว็บไซต์คุณภาพสูง เช่น Wikipedia, Stack Overflow, หนังสือออนไลน์
2. โค้ดและเทคนิคจากชุมชนโอเพ่นซอร์ส
- GitHub, StackExchange ฯลฯ
3. เอกสารทางเทคนิค และฐานข้อมูลโอเพ่นดาต้า
- เช่น Common Crawl, arXiv, OpenSubtitles ฯลฯ
4. เอกสารที่ใช้ฝึกภาษาและตรรกะ
- เช่น หนังสือเรียน ภาษาอังกฤษ บทสนทนา ฯลฯ
สิ่งที่ ChatGPT ไม่สามารถเข้าถึงโดยตรง ได้:
- ข้อมูลเรียลไทม์จาก Google Search
- เว็บไซต์ที่มีเนื้อหาเฉพาะกลุ่ม / ปิดกั้นการเก็บข้อมูล (เช่นมี robots.txt)
- โซเชียลมีเดียส่วนตัว, LINE, Messenger ฯลฯ
- ข้อมูลหลัง Login, ระบบสมาชิก, หรือแบบฟอร์ม
แล้ว SEO ช่วยให้ติด ChatGPT ได้จริงไหม?
คำตอบคือ “มีผลทางอ้อมที่ชัดเจน” ค่ะ เพราะ:
- เว็บไซต์ที่ ทำ SEO ได้ดี มักมีเนื้อหาชัดเจน ตรงประเด็น มีคำค้นหาในตำแหน่งที่เหมาะสม (เช่น title, heading, meta)
- มี Backlink / Citation จากเว็บอื่น ซึ่งช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือ
- หากเว็บของคุณติดอันดับ Google อยู่แล้ว โอกาสที่จะถูก AI อ้างอิงก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย
สรุปคือ ยิ่งเว็บไซต์ของคุณติด Google Search และมีเนื้อหาชัดเจน → โอกาสที่จะติด ChatGPT ก็ยิ่งมากขึ้น
ตัวอย่างของลูกค้าเราที่ทำ SEO พอค้นหาก็ติดทั้ง Google และ CHAT GPT ค่ะ
📩 หากคุณอยากเริ่มต้น ทำเว็บไซต์ + SEO เพื่อให้คนหาเจอทั้งบน Google และ AI
👉 ดูแพ็กเกจของเราได้ที่:
https://www.mwebsite-studio.com/website-seo-package
📲 หรือปรึกษาฟรีได้ที่ LINE: @websitestudio
ภาพโดย Franz Bachinger จาก Pixabay
ธุรกิจเราจำเป็นต้องทำเว็บไซต์หรือไม่? คำถามที่เจ้าของธุรกิจยุคใหม่ควรรู้!
ในยุคที่ใคร ๆ ก็มี Social Media การตั้งคำถามว่า “จำเป็นต้องทำเว็บไซต์หรือไม่?” เป็นเรื่องที่เจ้าของร้านค้าและธุรกิจจำนวนมากกำลังตัดสินใจอยู่
Social Media เช่น Facebook, Instagram, TikTok ถือเป็นช่องทางฟรีที่เข้าถึงง่าย ใครก็เปิดได้ และแน่นอนว่า มีความจำเป็นในยุค AI แบบนี้ เพราะยิ่งร้านค้า หรือบริษัทเรามีหลายช่องทางการติดต่อ ก็เหมือนเราได้เปิดร้านในหลายทำเล เพิ่มโอกาสให้ลูกค้ารู้จัก และตัดสินใจซื้อได้มากขึ้น
❓แล้วเว็บไซต์ล่ะ...จำเป็นต้องทำเว็บไซต์หรือไม่?
คำตอบคือ… จำเป็นมาก!
โดยเฉพาะถ้าคุณต้องการสร้างแบรนด์ให้แข็งแรงในระยะยาว และอยากเป็น “ตัวจริง” ในสายธุรกิจของคุณเอง
เพราะเว็บไซต์คือ “หน้าร้านหลัก” ที่คุณเป็นเจ้าของอย่างแท้จริง:
- ไม่มีใครลบหรือปิดบัญชีคุณได้
- ลูกค้าค้นหาคุณจาก Google ได้ง่ายขึ้น
- รองรับการทำ Google Ads และ SEO เพื่อเพิ่มยอดขายแบบยั่งยืน (อ่านเพิ่มเติมว่า SEO คืออะไร คลิกที่นี่)

ค่าใช้จ่ายในการทำเว็บไซต์ ประมาณเท่าไหร่?
สำหรับเว็บไซต์ทั่วไปในประเทศไทย ราคามักเริ่มต้นที่ประมาณ 3,000 – 30,000 บาท
ส่วนเว็บไซต์ที่มีระบบขายของหรือระบบพิเศษ ราคาจะอยู่ที่ 30,000 บาทขึ้นไป ขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของงาน
ซึ่งถือว่าเป็น การลงทุนที่คุ้มค่า และยังถูกกว่าการเปิดหน้าร้านหรือสร้างออฟฟิศสวย ๆ อีกด้วย
วันนี้ Website Studio ได้นำตารางเปรียบเทียบระหว่างบริษัทที่มีเว็บไซต์ vs ไม่มีเว็บไซต์ (มีแต่ Facebook) โดยแยกมาให้แบบชัดเจนทั้งกรณี "มีการทำการตลาด" และ "ไม่มีการทำการตลาด" เพื่อให้เห็นความแตกต่างอย่างชัดเจนค่ะ
ตารางเปรียบเทียบ: บริษัทที่มีเว็บไซต์ vs ไม่มีเว็บไซต์ (มีแต่ Facebook)
| หัวข้อ | มีเว็บไซต์ + Facebook | ไม่มีเว็บไซต์ (มีแต่ Facebook) |
|---|---|---|
| 1. ความน่าเชื่อถือ |
✅ ดูเป็นทางการ น่าเชื่อถือ ✅ มีโดเมนของตัวเอง |
❌ ดูเป็นเพจทั่วไป ❌ เหมือนยังไม่เป็นธุรกิจจริงจัง |
| 2. ค้นหาบน Google ได้ไหม | ✅ ติด Google ได้ทั้ง SEO และ Ads | ❌ ติด SEO ยากมาก ✅ เฉพาะกรณีซื้อ Ads แบบลิงก์ไปยังเพจเท่านั้น |
| 3. สร้างแบรนด์ในระยะยาว | ✅ วางโครงสร้างแบรนด์ได้ชัดเจน | ❌ จำกัดที่ระบบ Facebook เปลี่ยนเมื่อไหร่กระทบทันที |
| 4. เก็บข้อมูลลูกค้า (CRM/Lead) | ✅ เก็บอีเมล-เบอร์ได้เต็มรูปแบบผ่านฟอร์มเว็บ | ❌ ต้องพึ่งข้อความหรือแชทในเพจเท่านั้น |
| 5. โฆษณาแบบ Retarget ได้แม่น | ✅ ติดโค้ด Pixel / GA / Conversion ได้ง่าย | ❌ ทำได้จำกัด ไม่แม่นยำเท่าผ่านเว็บไซต์ |
| 6. มีระบบจอง / สั่งซื้อ / เก็บสถิติ | ✅ สร้างระบบในเว็บเองได้เต็มที่ | ❌ ไม่มีระบบ ต้องใช้แพลตฟอร์มเสริม |
| 7. หาก Facebook ล่มหรือโดนปิด | ✅ ยังมีเว็บไซต์เป็นหลักให้ลูกค้าติดต่อได้ | ❌ เสี่ยงสูง ถ้าเพจหาย = หายหมด |
| 8. ค่าใช้จ่ายเริ่มต้น | ลงทุนครั้งแรก เริ่มต้น 3,000 – 30,000+ บาท | ฟรี (แต่ข้อจำกัดเยอะมาก) |
กรณีทำการตลาด (ยิง Google Ads / SEO)
| หัวข้อ | มีเว็บไซต์ | ไม่มีเว็บไซต์ |
|---|---|---|
| ยิงโฆษณา Google ได้ไหม | ✅ ได้เต็มรูปแบบ ติดอันดับ/ปล่อย Ads |
❌ ทำได้น้อยหรือไม่ได้เลย |
| วัดผลแคมเปญ (Conversion) | ✅ วัดยอดขาย / ลงทะเบียน / โทร / แชทได้ | ❌ วัดผลได้แค่ Engagement หรือคนกด Like |
| ปรับปรุง UX/UI ได้ไหม | ✅ ปรับเนื้อหา หน้าเว็บตามพฤติกรรมลูกค้าได้ | ❌ ต้องใช้ตาม Layout ของ Facebook |
| ทำ SEO ได้ไหม | ✅ ทำได้ ช่วยเพิ่มลูกค้าระยะยาวแบบไม่ต้องจ่าย Ads | ❌ ทำไม่ได้เลย |
กรณีไม่ทำการตลาด
| หัวข้อ | มีเว็บไซต์ | ไม่มีเว็บไซต์ |
|---|---|---|
| คนค้นเจอง่ายไหม | ✅ ค้นจาก Google เจอแม้ไม่ยิง Ads | ❌ ต้องพิมพ์ชื่อเพจให้ตรงเป๊ะ |
| มีโอกาสสร้างรายได้เรื่อย ๆ ไหม | ✅ ลูกค้าเข้ามาเองจากการค้นหา | ❌ รายได้ลดลงถ้าไม่โพสต์สม่ำเสมอ |
| ความเป็นเจ้าของ | ✅ เว็บเป็นของเรา 100% | ❌ ขึ้นกับระบบของ Facebook |
หวังว่าบทความนี้ จะมีประโยชน์ช่วยให้การตัดสินใจที่จะทำเว็บไซต์ของคุณมีมากยิ่งขึ้นนะคะ แต่หากคิดจะเริ่มทำเว็บไซจ์ อย่าลืมศึกษาให้รอบด้านเพื่อไม่ให้พลาด! หรือลองอ่าน 5 ข้อผิดพลาดที่เจ้าของเว็บไซต์ใหม่มักเจอ เพื่อจะได้ไม่พลาดในการทำเว็บไซต์ด้วยค่ะ
ภาพโดย StartupStockPhotos จาก Pixabay, ภาพโดย Firmbee จาก Pixabay
12 จุดสำคัญที่ “เว็บขายของต้องมี”
อยากมีเว็บไซต์ขายของออนไลน์? มาดู 12 จุดสำคัญที่ “เว็บคุณต้องมี” เพื่อสร้างยอดขายสุดปัง และเพิ่มความน่าเชื่อถือกันค่ะ
จะดีกว่ามั้ย ถ้าเว็บไซต์ขายของไม่ได้แค่เอาไว้โชว์สินค้า แต่เป็นอีก 1 ช่องทางช่วยให้คุณเพิ่มยอดขาย สร้างความน่าเชื่อถือ และเก็บลูกค้าไว้ได้ในระยะยาว มาดูกันว่า “เว็บขายของที่ดี” ควรมีอะไรบ้าง
หน้าแรกที่ปัง
หน้าแรกที่สวยที่ปังควรมีข้อมูลดังนี้ค่ะ
- แบนเนอร์สวยๆ ที่บ่งบอกแบรนด์และสินค้าคุณอย่างชัดเจน สร้างความรู้สึก “ว้าว” ตั้งแต่ครั้งแรกที่เปิดเข้าเว็บ พร้อมปุ่มติดต่อสั่งซื้อ หรือปุ่มดูรายละเอียดสินค้า เพื่อไม่ให้ลูกสะดวกในการติดต่อเราได้ตั้งแต่เห็นแบนเนอร์
- ในกรณีมีสินค้าหลายสินค้า ควรมีหมวดหมู่สินค้าของคุณ ทำเป็นภาพแต่ละสินค้ายิ่งดี พร้อมคลิกไปที่หมวดหมู่นั้นๆ
- โปรโมชั่น สามารถใส่ในแบนเนอร์ได้
- สินค้าขายดี เลือกสินค้าเจ๋งๆ หรือขายดีมาโชว์ในหน้าแรกสัก 4-8 สินค้า
- รีวิวจากลูกค้า สั้นๆ ไม่กี่รีวิว
- เกี่ยวกับคุณ เพื่อความน่าเชื่อถือ
หน้าเกี่ยวกับเรา
หน้านี้ควรเขียนความเป็นมาของเรา ความมุ่งมั่นในการทำผลิตภัณท์ หน้านี้ให้เรานึกว่าเป็นหน้าที่จะเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ของคุณ แต่ถ้าข้อมูลคุณมีไม่เยอะมาก อาจจะรวมไปกับหน้าแรกเป็นสัก 1 section ของหน้าแรกได้เหมือนกันค่ะ แต่ถ้ามีเยอะเช่นมีประวัติความเป็นมา ปีก่อตั้ง สถานที่ผลิต สามารถใส่ไปได้เลยค่ะในหน้านี้
หน้ารวมสินค้า
หน้ารวมสินค้าจะโชว์สินค้าทั้งหมด โดยควรจัดหมวดหมู่สินค้าให้เรียบร้อย โดยแต่ละหมวดหมู่ควรมีคำอธิบายย่อยๆ เพื่อให้ Google ชอบนะคะ และถ้าหากสินค้ามีจำนวนมาก ควรมีระบบกรอง (filter) ให้กับลูกค้า เพื่อให้ลูกค้าเลือกดูง่าย ไม่สับสนค่ะ
หน้าสินค้า
หน้าสินค้า ควรมีรูปสินค้าหลายๆ รูป ยกตัวอย่างเช่นคุณขายกระเป๋า รูปที่ควรจะมีต้องชัด มีหลายมุม (ด้านหน้า ด้านหลัง ด้านใน ฯลฯ) ถ้ามีวิดีโอรีวิวหรือภาพใช้งานจริงจะยิ่งดี พร้อมรายละเอียดแบบยาว รายละเอียดแบบสั้น รีวิว และอย่าลืมข้อมูลสำคัญเช่น ขนาด น้ำหนัก วัสดุ ฯลฯ
ปุ่มสั่งซื้อในหน้านี้ต้องเด่น พร้อมบอกราคาที่ชัดเจน
ถ้าหากเรามีสินค้าหลายตัว เราอาจจะมีส่วนแนะนำสินค้าที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมในส่วนของหน้านี้ได้ด้วยเช่นกันค่ะ
หน้าตะกร้าสินค้า และหน้าชำระเงินที่ใช้ง่าย
หน้าตะกร้าสินค้า จะทำให้ลูกค้าสะดวกในการดูสินค้าที่เรากำลังสั่งซื้อ และสามารถเพิ่มหรือลดจำนวนได้อย่างง่ายดาย
หน้าสั่งซื้อสินค้าควรมีแบบฟอร์มให้ลูกค้ากรอกข้อมูลพื้นฐานเช่น ชื่อ นามสกุล ที่อยู่ เบอร์โทร อีเมลล์ LINE ID และที่อยู่สำหรับจัดส่ง พร้อมแสดงตัวเลือกสำหรับการจัดส่ง และการจ่ายเงินแต่ละแบบให้กับลูกค้าเลือกค่ะ
เราควรมีระบบเก็บข้อมูลการสั่งซื้อของลูกค้าไว้ เพื่อใช้ในการจัดส่ง และเพื่อใช้ในการทำการตลาดกับลูกค้ากลุ่มเดิมในอนาคตด้วยนะคะ
หน้าข้อมูลการจัดส่ง
เราควรจะมีหน้าข้อมูลการจัดส่งที่มีในระบบเว็บไซต์เรา โดยแจ้งชัดเจนว่าใช้ขนส่งอะไร, ระยะเวลาเท่าไหร่, ค่าจัดส่งเท่าไหร่
ฟอร์มแจ้งชำระเงิน
ถ้าเว็บยังไม่ได้เชื่อมระบบชำระเงินอัตโนมัติ หรือมีการให้โอนเงินผ่านธนาคาร เราควรมีฟอร์มให้ลูกค้าแนบหลักฐานการโอนเงินได้ง่ายๆ และระบบส่งกลับมายังแอดมิน เพื่อทำการเช็คยอด และจัดส่งสินค้าต่อไป
ช่องทางติดต่อต้องชัด
ปุ่มทัก LINE, Facebook, โทรศัพท์ หรือแ LIVE CHAT ยิ่งพยายามมีหลากหลายช่องทาง ลูกค้ายิ่งติดต่อได้สะดวกมากขึ้นค่ะ
หน้ารีวิวจากลูกค้า
การมีรีวิวจากคนใช้บริการของเราจริงจะดีมากๆ ค่ะ เพราะ “รีวิวจากลูกค้าเก่า” คือคำโฆษณาที่ดีที่สุด รีวิวที่เราควรมี ควรจะมีทั้งคำรีวิว รูปภาพ หรือวิดีโอมีได้ยิ่งดีเลยนะคะ
เว็บต้องโหลดเร็ว & รองรับมือถือ
เพราะลูกค้าส่วนใหญ่เข้าดูสินค้าผ่านมือถือ ถ้าโหลดช้าคือพลาดโอกาสขายแน่นอนค่ะ อีกทั้ง Google ก็ชอบเว็บที่โหลดเร็ว ยิ่งเราทำดีเท่าไหร่ ทั้งเนื้อหา และ speed ในการโหลด โอากศการติดคำค้นหายิ่งเยอะแน่นอนค่ะ
ติดตั้งระบบวัดผล (Google Analytics, Meta Pixel ฯลฯ)
ควรติดตั้ง Google Analytics เพื่อทำการเก็บสถิติการเข้าชมเว็บไซต์ พฤติกรรมของลูกค้า สินค้าไหนที่ลูกค้าดูเยอะ เพื่อนำไปปรับแผนการตลาดได้อย่างแม่นยำมากยิ่งขึ้นค่ะ
โลโก้ระบบชำระเงินที่รองรับใน Footer
แสดงโลโก้บัตรเครดิต, พร้อมเพย์, LINE Pay ฯลฯ ที่ท้ายเว็บ เพื่อให้ลูกค้ารู้ว่าเว็บคุณรองรับการชำระแบบไหน
เป็นยังไงบ้างคะ กับ 12 ข้อที่ทาง Website Studio เตรียมไว้ให้คุณ ลองไปเช็คและปรับใช้กันดูนะคะ ว่าเว็บไซต์ของคุณมีครบหรือยัง 🙂 ค่ะ
SEO คืออะไร? เจ้าของร้านต้องรู้ไหม
จากสถิติการค้นหาใน Google ที่เราได้ข้อมูลมาจาก Ahref (หนึ่งใน tool ที่เราใช้ทำ SEO นะคะ) ใน 1 เดือนนั้นมีคนค้นหาคำว่า
โรงแรมใกล้ฉัน ถึง 170,000 กว่าคน
ร้านทำผม ใกล้ฉัน 11,000 กว่าคน
ร้านอาหาร ใกล้ฉัน 17,000 กว่าคน
ร้านอาหารอิสลามใกล้ฉัน 7,700 กว่าคน



จากสถิติ จะเห็นได้ว่าในยุคนี้ใครๆ ก็ใช้ Google ในการค้นหาสินค้า, บริการ หรือแม้กระทั่งร้านอาหาร แล้วจะทำยังไงล่ะ ที่จะทำให้สินค้า, ร้านค้า, บริษัท หรือบริการของคุณถูกค้นเจอได้ง่าย ได้เป็นอันดับต้นๆ เพื่อที่จะได้มีโอกาสในการขายสินค้าหรือบริการนั้นๆ จากยอดคนค้นหา และคลิกเข้ามาในเว็บไซต์เราได้..นี่แหล่ะค่ะ คือบทบาทของ SEO และเราเรียกบริการว่าทำ SEO
ถ้ามาในแนวเนื้อหาสักหน่อย คำว่า SEO (Search Engine Optimization) คือการปรับแต่งเว็บไซต์ของคุณให้มีโอกาสติดอันดับต้นๆ ของผลการค้นหาใน Google เช่น เวลาลูกค้าพิมพ์หา “โรงแรมใกล้ฉัน” หรือ “ร้านอาหาร ใกล้ฉัน” เว็บของคุณจะขึ้นมาให้เห็นก่อนร้านอื่นๆ โดยไม่ต้องเสียเงินลงโฆษณา
การทำ SEO นั้นจะเน้นการทำเว็บไซต์ให้ โครงสร้างหลังบ้าน, มีเนื้อหาที่ดี ตรงกับที่ลูกค้าค้นหา, โหลดไว, รองรับการใช้งานบนมือถือ, และ มีความน่าเชื่อถือ และอย่างอื่นอีกมากมาย โดยที่ทำทั้งหมดนี้ ก็เพื่อให้พี่ Google ของเรา จัดอันดับ และเลือกแนะนำเว็บไซต์ของคุณให้คนอื่นเห็น ตามคำค้นหานั้นๆ
ทำไมเจ้าของร้านต้องรู้เรื่อง SEO?
SEO ช่วยเพิ่มยอดขาย
เจ้าของร้าน หรือเจ้าของธุรกิจ จำเป็นต้องรู้ว่า SEO คืออะไร เพื่อทำการประเมินว่าคุ้มค่ากับการลงทุนหรือไม่ หากร้านคุณขึ้นหน้าแรกของ Google และมีคนค้นหาบริการนั้นๆ ถึง 10,000 กว่าครั้งต่อเดือนโอกาสที่ลูกค้าใหม่จะเจอร้านคุณและสั่งซื้อก็สูงขึ้นทันที จริงไหมคะ
SEO ช่วยลดต้นทุนโฆษณา
SEO เป็นการลงทุนระยะยาว โดยเมื่อติดแล้ว คุณจะไม่ต้องเสียเงินยิงแอดทุกวัน แต่เว็บยังมีคนเข้ามาชมเรื่อยๆ แต่ก็อาจจะมีการที่ต้องทำ SEO ต่อเนื่อง เพื่อรักษาอันดับนะ และแรกๆ การทำ SEO อาจจะใช้เวลาสักหน่อย
SEO ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือ
ลูกค้ามักเชื่อถือเว็บไซต์ที่ขึ้นอันดับต้นๆ เพราะคิดว่า “ต้องดีแน่ๆ ถึงได้อยู่อันดับสูง” จริงไหมคะ?
SEO ช่วยให้ไม่แพ้คู่แข่งในยุคออนไลน์
คู่แข่งของคุณอาจจะกำลังทั้งทำ SEO และอื่นๆ การทำ SEO มีการทำกันเยอะขึ้นทุกวัน ถ้าเราปรับตัวช้า ก็อาจพลาดโอกาสสำคัญไป
SEO ช่วยให้ติดค้นหาใน Chat GPT
การค้นหาของคนบางกลุ่มอาจจะเปลี่ยนไป ลูกค้าบางคนอาจเริ่มค้นหาจาก Chat GPT การทำ SEO เป็นอีก 1 ตัวช่วยเพื่อให้ค้นหาเว็บคุณเจอค่ะ
เริ่มต้น ทำ SEO ยังไงดี
- ทำเว็บไซต์ให้โหลดเร็ว และรองรับการใช้งานผ่านมือถือ
- เขียนเนื้อหา (บทความ/รายละเอียดสินค้า) ที่มีคุณภาพ ตรงกับสิ่งที่ลูกค้าค้นหา
- ใช้คีย์เวิร์ด (คำค้นหา) ที่เหมาะสมในชื่อเรื่อง เนื้อหา และรูปภาพ
- สร้างลิงก์เชื่อมโยงภายในเว็บไซต์ให้ดี
- อัปเดตเนื้อหาอย่างสม่ำเสมอ
- จ้างผู้เชี่ยวชาญในการทำ SEO โดยคนรับบริการทำ SEO นั้นจะมีการวิเคราะห์คำค้นหา ปรับความเร็ว ทำทุกๆ อย่างให้คุณ เพื่อให้คุณเอาเวลาไปทำในสิ่งที่คุณถนัด
SEO สามารถทำกับ social อื่นๆ ที่ไม่ใช้เว็บไซต์ได้ไหม?
Facebook, Instagram, TikTok, YouTube — แต่ละแพลตฟอร์ม ก็มี “การค้นหา” ภายในแพลตฟอร์ม-ของตัวเองเหมือนกัน ดังนั้นเราสามารถทำ “SEO” แบบเฉพาะแต่ละแพลตฟอร์มได้ เช่น
Facebook SEO
ตั้งชื่อเพจ, คำอธิบายเพจ, ชื่อโพสต์ และ Hashtag ให้ตรงกับสิ่งที่คนค้นหา เช่น “ร้านเค้กวันเกิดในกรุงเทพ”
YouTube SEO
ตั้งชื่อวิดีโอ, คำอธิบาย, Hashtag และเลือกหมวดหมู่ให้เหมาะ เพื่อให้คนค้นหาแล้วเจอคลิปของเรา
Instagram SEO
ตั้งชื่อโปรไฟล์, ชื่อบัญชี, Bio และแคปชั่นด้วยคำค้นหาที่คนสนใจ เช่น “เค้กคัสตอมดีไซน์”
TikTok SEO
ใช้แคปชั่น, Hashtag, และเสียงที่กำลังเป็นเทรนด์ เพื่อให้คลิปติดในการค้นหา
แต่ SEO บน Social จะมีผล เฉพาะ เวลาคนค้นหาในแอปนั้นๆ เท่านั้น เช่น ถ้าเราทำ SEO ใน Facebook คนต้องค้นใน Facebook ถึงจะเจอ ไม่ได้ช่วยดันใน Google (ยกเว้นเพจดังๆ ที่อาจติด Google ด้วย)
การวัดผลการทำ SEO ทำอย่างไร
เราสามารถทำการค้นหา คีย์เวิร์ด (คำค้นหา) นั้นๆ ใน Google และดูว่าเราติดอันดับที่เท่าไหร่ได้เลยค่ะ หรือเราสามารถติดตั้ง Google Webmaster Tool และใช้ในการดักจับคำค้นหานั้นๆ ว่าเราติดในอันดับที่เท่าไหร่
5 ข้อผิดพลาดที่เจ้าของธุรกิจควรรู้ ก่อนเริ่มต้นทำเว็บไซต์
การสร้างเว็บไซต์ครั้งแรกสำหรับเจ้าของกิจการ ถือเป็นเรื่องที่ท้าทายไม่น้อย
เพราะไม่ใช่แค่ “ทำให้สวย” แล้วจบ แต่ยังต้องคิดถึงโครงสร้าง ความน่าใช้งาน ความเร็ว การแสดงผลบนมือถือ ไปจนถึง SEO และความปลอดภัย
การสร้าง “เว็บไซต์” ก็เหมือนกับ “การสร้างออฟฟิศ” ที่ต้องออกแบบให้เหมาะกับการต้อนรับลูกค้า มีการทำโครงสร้างซึ่งคือการวางแผนโครงสร้าง ยิ่งวางแผนดีตั้งแต่ต้น ก็ยิ่งได้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่าในระยะยาว
วันนี้ Website Studio ขอแชร์ 5 ข้อผิดพลาดที่มักพบจากประสบการณ์จริง พร้อมคำแนะนำสำหรับมือใหม่ที่กำลังจะมีเว็บไซต์แรกของตัวเองค่ะ
1. ยึดติดกับความสวยงามเกินไป จนลืมคิดถึง “ผู้ใช้งานจริง”
เจ้าของธุรกิจหลายคนมักเริ่มจากการหาตัวอย่างเว็บสวยๆ แล้วอยากได้เหมือนเป๊ะ
ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี แต่อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือ “ลูกค้าเข้าเว็บนี้แล้วเขาจะเข้าใจมั้ย?” หรือ “ใช้งานง่ายแค่ไหน?” อีกทั้งเว็บเราทำให้ Search Engine ต่างๆ อ่านได้ง่ายหรือไม่ เพื่อเพิ่มอันดับการค้นหาของเราให้ดียิ่งขึ้น
2. ไม่ใช้ Web Designer โดยเฉพาะ
หลายคนอาจเข้าใจว่า Graphic Designer กับ Web Designer เหมือนกัน
แต่จริงๆ แล้วหน้าที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง
-
Graphic Designer เก่งเรื่องสี ฟอนต์ การจัดองค์ประกอบ ออกแบบภาพแบนเนอร์ต่างๆ
-
Web Designer จะวางโครงสร้างเว็บให้ใช้งานได้จริง มีปุ่ม คลิก ลิงก์ และ UX ที่ดี
3. เลือกโฮสติ้งถูกเกินไป ไม่ดูเรื่องความปลอดภัย
โฮสติ้งเหมือนพื้นที่จัดเก็บเว็บ ถ้าเลือกไม่ดี อาจเจอปัญหาเว็บล่ม ถูกแฮก หรือข้อมูลหาย
4. จ้างทำเว็บราคาถูกมาก หรือทำเองโดยไม่มีแผน
ราคาถูกใช่ว่าจะไม่ดี แต่ถ้าราคาถูกเกินไปโดยไม่มีผลงานหรือรีวิวรองรับ ก็ควรระวัง ก่อนจ้างใครทำเว็บ ลองเช็กรีวิวและขอผลงานดู และอย่าลืมสอบถามเรื่องบริการหลังการขาย เช่น อัปเดตเว็บไซต์, สำรองข้อมูล หรือแก้ไขภายหลัง
5. ไม่ทำ SEO หรือไม่เตรียมงบสำหรับโฆษณา Google
มีเว็บไซต์แล้วแต่ไม่ทำ SEO = เปิดร้านโดยไม่เปิดไฟ ไม่มีทางที่ลูกค้าจะหาคุณเจอใน Google โดยไม่ทำอะไรเลย
บทส่งท้าย
📲 LINE ได้เลย: @websitestudio
📩 Facebook: m.me/webstudio20
ทำเว็บต้องมีอะไรบ้าง?
ในยุคที่ลูกค้าหาทุกอย่างจาก Google/Chat GPT การมีเว็บไซต์สำหรับธุรกิจถือเป็นพื้นฐานสำคัญที่เจ้าของกิจการทุกคนควรมี แต่สำหรับคนที่เพิ่งเริ่มต้น คำถามที่พบบ่อยคือ “ทำเว็บต้องมีอะไรบ้าง?”, “โดเมนคืออะไร?”, “จำเป็นต้องทำ SEO ไหม?”, “SEO คืออะไร”
บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักสิ่งที่จำเป็นต้องมีเมื่อจะเริ่มต้นทำเว็บไซต์ พร้อมคำอธิบายง่ายๆ ฉบับ Website Studio ที่ไม่ต้องเป็นสายเทคโนโลยี ก็เข้าใจได้แน่นอน!
1. โดเมนเนม (ชื่อเว็บไซต์)
โดเมนคือชื่อที่ใช้เรียกเว็บไซต์ของคุณ เช่น www.ชื่อร้านคุณ.com
การจดโดเมนก็เหมือนการจองชื่อธุรกิจบนโลกออนไลน์ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายเพียงปีละประมาณ 300–700 บาท โดยมีการเสียค่าบริการเป็นรายปี จะเสียเงินล่วงหน้าก็ได้
2. โฮสติ้ง (Hosting)
โฮสติ้งคือที่เก็บข้อมูลของเว็บไซต์ เช่น รูปภาพ เนื้อหา ฐานข้อมูล ฯลฯ คล้ายๆ ที่เก็บข้อมูลในโทรศัพท์ หรือในคอมพิวเตอร์ของคุณ
เปรียบง่ายๆ: โดเมนคือ “ชื่อร้าน” ส่วนโฮสติ้งคือ “พื้นที่ร้าน”
การชำระเงินจะเป็นการชำระเงินรายปีเช่นเดียวกับโดเมน ราคาจะขึ้นอยู่กับพื้นที่ ฟังก์ชั่น ความปลอดภัย โดยราคาเริ่มต้นจะมีตั้งแต่ 1,000 บาท ขึ้นไป
3. แพลตฟอร์มสร้างเว็บไซต์ (เช่น WordPress, Joomla)
หากคุณไม่มีพื้นฐานเขียนโค้ด WordPress เป็นตัวเลือกยอดนิยม เพราะสามารถปรับแต่งได้หลากหลาย รองรับ SEO และใช้งานง่าย
4. ดีไซน์และโครงสร้างเว็บ
เว็บไซต์ที่ดีควรใช้งานง่าย โหลดเร็ว รองรับการแสดงผลหลายๆ หน้าจอทั้งในคอมพิวเตอร์ มือถือ และแท๊ปเล็ตต่างๆ อีกทั้งในเว็บควรเห็นข้อมูลชัดเจน มีปุ่มติดต่อ หรือปุ่ม “ซื้อ” อย่างชัดเจน
โครงสร้างควรมีหน้าเหล่านี้เป็นพื้นฐาน:
-
หน้าแรก (Home)
-
เกี่ยวกับเรา (About)
-
สินค้า/บริการ (Products/Services)
-
ติดต่อเรา (Contact)
- ปุ่ม live chat ที่ลิงค์ไปยัง Line หรือ Facebook Messenger
5. ระบบหลังบ้าน (Back-end)
การทำเว็บไซต์ จะดีอย่างมาก หากคุณสามารถแก้ไขได้จากทีมงานของคุณ ระบบหลังบ้านจึงเป็นสิ่งที่ต้องคำนึงถึง เพื่อให้การแก้ไขเป็นไปได้อย่างง่ายดาย โดยระบบหลังบ้าน จะทำเพื่อให้คุณสามารถเข้าไปเพิ่มหรือแก้ไขข้อมูลเองในอนาคต เช่น อัปเดตรูปภาพ เปลี่ยนราคา เขียนบทความ
6. การติดตั้งระบบวิเคราะห์และ SEO
สิ่งที่ไม่ควรมองข้ามเลยคือการติดตั้ง Google Analytics และการรายงานผล เพื่อให้คุณรู้ว่าใครเข้าชมเว็บบ้าง มาจากที่ไหน สนใจอะไร และจะได้ทำการตลาดในอนาคตได้ถูกจุด
สรุป: ทำเว็บต้องมีอะไรบ้าง?
| รายการ | จำเป็นไหม? |
| โดเมนเนม | จำเป็น |
| โฮสติ้ง | จำเป็น |
| ระบบเว็บ (WordPress) | จำเป็น |
| หน้าเว็บครบถ้วน | แนะนำ |
| SEO และ Analytics | ควรมี |
| ปุ่มติดต่อ / Live Chat | ห้ามลืม ! |
📲 ทักเราทาง LINE ได้เลย: @websitestudio
📩 หรืออินบ็อกซ์มาทาง Facebook: m.me/webstudio20








